พาไปทำความรู้จักกับคาร์ซีทว่าคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? ทำไมถึงต้องมีกฎหมายบังคับใช้

พาไปทำความรู้จักกับคาร์ซีทว่าคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? ทำไมถึงต้องมีกฎหมายบังคับใช้
พาไปทำความรู้จักกับคาร์ซีทว่าคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร? ทำไมถึงต้องมีกฎหมายบังคับใช้

ในแต่ละปีมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เพราะไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยและนั่งอยู่ตามลำพัง โดยที่ไม่มีผู้ใหญ่คอยอุ้มหรือดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนั้นการใช้เบาะนิรภัยสำหรับเด็กหรือที่ใครหลายๆ คนเรียกว่า “คาร์ซีท” จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะช่วยป้องกันให้เด็กๆ ไม่ถูกแรงกระแทกหากเกิดอุบัติเหตุ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับเจ้า “คาร์ซีท” กันว่าคืออะไร และมีความสำคัญอย่างไรจนต้องมีกฎหมายบังคับใช้

 

คาร์ซีท คืออะไร?

ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก หรือที่ใครหลายคนเรียกกันว่า “คาร์ซีท” คืออุปกรณ์จำเป็นที่จะช่วยให้บุตรหลานของคุณปลอดภัยจากความรุนแรงและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้ เมื่อต้องเดินทางทั้งระยะใกล้และระยะไกล โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เปิดเผยข้อมูลว่า การใช้คาร์ซีทช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของเด็กได้ถึงร้อยละ 70 เลยทีเดียว ซึ่งในปัจจุบันหลายประเทศได้มีกฎหมาย คาร์ซีทบังคับใช้แล้ว เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและป้องกันอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กขณะนั่งรถยนต์

คาร์ซีท คืออะไร

กฎหมายบังคับใช้คาร์ซีท ในประเทศ

วันที่ 7 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้ออกพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 13) ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้รถ - ใช้ถนนทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร โดยวัตถุประสงค์ของการออก พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมา ก็เพื่อต้องการให้ทุกคนคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา รวมถึงเด็กๆ ซึ่งอยู่ในความดูแลและโดยสารมาในรถยนต์ โดยระบุไว้ดังนี้

  • เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี จะต้องนั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็ก (คาร์ซีท) หรือที่นั่งพิเศษสำหรับเด็ก

  • เด็กที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร จะต้องนั่งและรัดเข็มขัดนิรภัยไว้ตลอด

เริ่มบังคับใช้กฎหมาย คาร์ซีท ตอนไหน ?

กฎหมาย คาร์ซีท มีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 กันยายน 2565 หากผู้ขับขี่ที่มีบุตรหลานนั่งมาด้วย และอยู่ในเกณฑ์อายุที่ทางกฎหมายระบุ หากฝ่าฝืนจะถูกปรับ 2,000 บาท โดยในช่วงแรกที่เริ่มบังคับใช้ หากกระทำผิดจะเป็นการตักเตือนก่อน

คาร์ซีท บังคับใช้เมื่อไหร่

มีเด็กหลายคนต้องทำอย่างไร ?

หากครอบครัวมีเด็กเกินกว่า 3 คนขึ้นไป และอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องใช้คาร์ซีท ให้ทำการติดตั้งคาร์ซีทในที่นั่งด้านหลัง 2 ที่ โดยให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปีนั่ง ส่วนที่นั่งด้านหน้าให้ติดตั้งคาร์ซีทด้วย หากเป็นเด็กอายุที่ต่ำกว่า 3 ปี แต่หากเกินกว่าเกณฑ์ให้นำเด็กที่มีอายุต่ำกว่ามานั่งด้านหน้าและให้เด็กที่อายุมากกว่านั่งด้านหลัง รวมถึงคาดเข็มขัดนิรภัยด้วย

 

ใช้คาร์ซีทแบบไหนได้บ้าง ?

ในกฎหมายคาร์ซีทระบุเอาไว้ว่าผู้ปกครองต้องเลือกคาร์ซีทให้เหมาะกับน้ำหนักตัวและส่วนสูงของเด็ก โดยเบาะนั่งนิรภัยหรือคาร์ซีท มีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

  1. ที่นั่งนิรภัยชนิดหันหน้าเข้าเบาะ (Rear-Facing Seats) คาร์ซีทแบบนี้จะให้เด็กนั่งหันไปทางด้านหลังของรถ

  2. ที่นั่งนิรภัยชนิดหันหน้าออกจากเบาะ (Forward-Facing Seats) คาร์ซีทแบบนี้เด็กจะนั่งหันหน้าไปทางเดียวกับเบาะด้านหน้ารถ โดยตัวเบาะจะมีการติดตั้งสายคาดแบบเส้นทแยงมุม หรือเบาะนวมสำหรับป้องกันแรงกระแทก (Impact Cushion) 

  3. ที่นั่งเสริมความสูง ชนิดมีหรือไม่มีพนักพิงหลัง

ทั้งนี้ สำหรับเบาะที่นั่งเสริมความสูงแบบไม่มีพนักพิงหลัง (Backless Booster Seats) เด็กที่นั่งจะต้องมีน้ำหนักตัวมากกว่า 22 กก. และส่วนสูงเกิน 125 ซม. อีกทั้งเบาะนั่งนิรภัย (คาร์ซีท) ชนิดตามส่วนสูงหรือที่เรียกกันว่า ไอไซต์ (I-Size) จะต้องเป็นชนิดหันหน้าเข้าเบาะ สำหรับเด็กอายุที่มีอายุต่ำกว่า 15 เดือน ซึ่งหากอายุเกินสามารถใช้คาร์ซีทแบบหันหน้าออกจากเบาะได้


เป็นยังไงกันบ้างกับข้อมูลที่ทางเราได้รวบรวมและนำมาฝากกัน เกี่ยวกับคาร์ซีทและกฎหมายคาร์ซีท ที่จะถูกประกาศให้ใช้ภายในประเทศไทยเร็วๆ นี้ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองที่มีสมาชิกตัวน้อยหรืออายุยังไม่เกินเกณฑ์ เตรียมตัวรับมือและสร้างเกราะป้องกันให้กับลูกหลานจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้แบบไม่ทันตั้งตัว ที่สำคัญนอกจากสร้างเกราะป้องกันให้กับลูกหลานที่รักแล้ว อย่าลืมเสริมเกราะป้องกันให้กับรถยนต์ด้วยการทำประกันรถยนต์ เพื่อความอุ่นใจ ช่วยคุ้มครองตลอดการเดินทางด้วย

 

สำหรับใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ บริการรวดเร็วทันใจ เป็นธรรม เราขอแนะนำประกันภัยรถยนต์ จากวิริยะประกันภัย หลากหลายประกันภัยที่สามารถคุ้มครองรถยนต์ของคุณได้ไม่ว่าจะเป็น ประกันชั้น 1 ที่ดูแลครบ จบทุกความต้องการหรือ ประกันรถยนต์ 2+ ซื้อง่ายคุ้มครองเร็ว หรือประกันรถยนต์ 3+ ประกันคุ้มจบในที่เดียว และใครที่กำลังมองหาการต่อพรบรถยนต์ที่คุ้มค่า ที่วิริยะประกันภัยเรามีครบจบที่เดียวสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.viriyah.com หรือโทรสอบถามข้อมูลได้ที่ 0-2129-7474

อ่านบทความอื่นๆ