5 สิ่งที่ไบเกอร์มือใหม่ต้องรู้! เมื่อเข้าสู่วงการบิ๊กไบค์

5 สิ่งที่ไบเกอร์มือใหม่ต้องรู้! เมื่อเข้าสู่วงการบิ๊กไบค์
5 สิ่งที่ไบเกอร์มือใหม่ต้องรู้! เมื่อเข้าสู่วงการบิ๊กไบค์

     

      ถ้าพูดถึงความฝันของผู้ชายหลายๆ คน รับรองว่าหนึ่งในนั้นต้องมี “บิ๊กไบค์” เป็นลิสต์อันดับต้นๆ อยู่ในใจที่อยากจะมีไว้ครอบครองและขี่เท่ๆ เหมือนพระเอกในหนังฮอลลีวูดสักคันอย่างแน่นอน เพราะนอกจากดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวแล้ว สมรรถนะของรถและเสียงท่อที่เร้าใจยังช่วยเพิ่มความตื่นเต้นและเสน่ห์ให้กับเราด้วย สำหรับไบเกอร์มือใหม่ที่อยากเข้าวงการบิ๊กไบค์เต็มตัว มีหลายสิ่งที่คุณต้องรู้และทำความเข้าใจ จะมีเรื่องไหนบ้างเราหาคำตอบไว้ให้แล้ว ไปดูกัน!

 

บิ๊กไบค์ คืออะไร? 

บิ๊กไบค์ (Bigbike) คือ รถมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดใหญ่กว่ารถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป ทั้งในเรื่องของเครื่องยนต์, ความยาว, ล้อและเฟรม ซึ่งบิ๊กไบค์แต่ละรุ่นจะมีความแตกต่างกัน หนึ่งในนั้นคือขนาดเครื่องยนต์ของบิ๊กไบค์ที่เริ่มตั้งแต่ 250 ซีซี. ไปจนถึง 2,400 ซีซี และมีตั้งแต่ 1 สูบ จนถึง 6 สูบ อีกทั้งระบบการส่งกำลังไปยังเครื่องยนต์ยังมีทั้งแบบโซ่และสายพานด้วย ซึ่งในทางกฎหมายชาวไบเกอร์ที่ขี่บิ๊กไบค์ตั้งแต่ 400 ซีซีขึ้นไป จะต้องทำใบขับขี่แยกชนิดจากมอเตอร์ไซค์ประเภทอื่นๆ อีกด้วย

 

5 สิ่งที่บิ๊กไบค์มือใหม่ต้องรู้ก่อนเข้าวงการบิ๊กไบค์

ก่อนที่คุณจะเข้าวงการบิ๊กไบค์เต็มตัว สิ่งที่คุณควรศึกษาและทำความเข้าใจก็คือ ประเภทของรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์

เนื่องจากรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์มีหลายประเภท การทำความเข้าใจและเลือกรถให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการใช้งาน จะช่วยให้คุณเลือกซื้อรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ได้ตรงตามความต้องการมากที่สุดนั่นเอง นอกจากเรื่องของประเภทรถแล้ว ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่บิ๊กไบค์มือใหม่ต้องรู้ ดังนี้

 

1.การเรียนรู้ทักษะการขี่บิ๊กไบค์

หลายคนมีความคิดที่ว่าการขี่บิ๊กไบค์ก็เหมือนกับการขี่รถมอเตอร์ไซค์ทั่วไป แต่ต้องขอบอกเลยว่าทักษะพื้นฐานในการขับขี่อาจไม่เพียงพอ เนื่องจากบิ๊กไบคเป็นรถที่มีน้ำหนักมากและมีสมรรถนะสูง จึงจำเป็นต้องมีทักษะและความชำนาญในการขับขี่หลายอย่าง ทั้งการเข้าโค้ง, การเลี้ยว, การยูเทิร์น, การเบรก, การเข้าเกียร์, การจอด หรือแม้แต่การขี่บนพื้นถนนที่เปียก เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ชาวไบเกอร์ที่อยากผันตัวมาขี่บิ๊กไบค์หรือบิ๊กไบค์มือใหม่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม รวมถึงต้องหมั่นฝึกฝนให้ชำนาญก่อนจะลงสนามขับขี่จริง

2.ความเข้าใจในขนาดรถและประเภทรถ

การทำความเข้าใจขนาดของรถและประเภทของรถ จะช่วยให้เหล่าบิ๊กไบค์มือใหม่สามารถเลือกรถที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์และการใช้งานของตนเองได้ สำหรับบิ๊กไบค์มือใหม่ แนะนำว่าให้เริ่มต้นกับรถมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดเครื่องเล็กหรือปานกลาง เช่น 300 - 500 ซีซี กำลังพอดี เนื่องจากรถมีน้ำหนักไม่มาก ทำให้สามารถฝึกขับขี่และควบคุมรถได้ง่าย โดยเฉพาะในพื้นที่แคบหรือเมื่อต้องหยุดรถนั่นเอง ซึ่งรถบิ๊กไบค์ที่เห็นได้บ่อยๆ บนท้องถนน มีดังนี้

-  สปอร์ตไบค์ (Sport Bike) เป็นรถบิ๊กไบค์ที่เน้นการออกแบบให้มีความโฉบเฉี่ยว ดุดัน แฮนด์จับต่ำและมีความเร็วสูง ทำให้มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ประเภทนี้มีความคล่องตัวสูง และมีท่าทางการขับขี่ที่มีเอกลักษณะเฉพาะตัว คือต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อลดการต้านอากาศ อีกทั้งช่วยในการควบคุมและการทรงตัวขณะขี่ด้วยความเร็วสูง เหมาะกับการขี่ในสนามแข่งหรือบนถนนทางเรียบที่ต้องการความเร็วสูง รวมถึงคนที่มีประสบการณ์ในการขับขี่สูงด้วย

- เนกเก็ตไบค์ (Naked Bike) เป็นรถบิ๊กไบค์ที่ไม่มีแฟริ่งด้านหน้า (ส่วนป้องกันลม) โชว์ให้เห็นชิ้นส่วนต่างๆ ของรถรวมถึงตัวเครื่องยนต์ได้ชัดเจน ส่วนท่าทางการขับขี่จะสบายกว่า sport bike เนื่องจากตัวเบาะของรถประเภทนี้ถูกปรับมาให้อยู่ในระดับเดียวกับแฮนด์มอเตอร์ไซค์และถูกหลักพลศาสตร์ ที่ช่วยต้านลมเมื่อต้องทำความเร็วสูง รถเนกเก็ตไบค์จึงเหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองหรือการใช้งานทั่วไป เพราะสามารถควบคุมได้ง่าย

- ทัวร์ริ่งไบค์ (Touring Bike) เป็นรถที่ออกแบบมาสำหรับการเดินทางไกลโดยเฉพาะ มีความสะดวกสบายสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งที่กว้าง แฮนด์รถที่ไม่สูงเกินไป และอุปกรณ์เสริมที่ช่วยอำนวยความสะดวก เช่น กระเป๋าสัมภาระขนาดใหญ่, ระบบนำทาง เป็นต้น ซึ่งบิ๊กไบค์ประเภทนี้เหมาะสำหรับการขี่ทางไกลและการท่องเที่ยวที่ต้องใช้เวลานานนั่นเอง

- สปอร์ตทัวร์ริ่ง (Sport Touring) บิ๊กไบค์ประเภทนี้เป็นการผสมผสานกันระหว่าง Sport bike และ Touring bike โดยตัวรถจะมีรูปทรงสปอร์ตตอบโจทย์การขี่ด้วยความเร็วสูง แต่เมื่อเดินทางระยะไกลก็ขับขี่สบาย ไม่เมื่อย ทำให้รถประเภทนี้เหมาะกับคนที่ต้องการบิ๊กไบค์มาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ก็ยังเหมาะสำหรับผู้ขี่ที่ต้องการรถบิ๊กไบค์ที่มีสมรรถนะสูง มีความสะดวกสบายในการขี่ระยะไกลด้วย

3.อุปกรณ์ป้องกัน

เพราะการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์นั้นไม่มีอะไรป้องกันเหมือนกับรถยนต์ หรือที่เรียกกันว่าเนื้อหุ้มเหล็ก ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ป้องกันทั้งหมวกกันน็อก ถุงมือ รองเท้า เกราะแขนหรือขา กางเกงการ์ดและเสื้อการ์ด และควรเลือกซื้ออุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพดี นอกจากเพื่อช่วยเซฟชีวิตของตนเองแล้ว ยังช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุอีกด้วย

4.เข้ารับการอบรมขับขี่บิ๊กไบค์

นอกจากเรียนรู้ทักษะในการขี่บิ๊กไบค์แล้ว สิ่งสำคัญที่เหล่าบิ๊กไบค์มือใหม่หรือชาวไบเกอร์ที่อยากจะผันตัวมาขี่บิ๊กไบค์เต็มตัวต้องทำคือ การเข้ารับการอบรมขับขี่บิ๊กไบค์ เนื่องจากบิ๊กไบค์เป็นประเภทรถที่มีรายละเอียดซับซ้อน การอบรมจะช่วยให้เราเข้าใจรถและมีความมั่นใจมากขึ้นในการขับขี่นั่นเอง ทั้งการขับขี่บนทางโค้ง หรือเข้าออกเลน, การควบคุมรถ, การขับขี่ในสถานการณ์ต่างๆ, ความรู้ในการบำรุงรักษาบิ๊กไบค์เบื้องต้น, การฝึกในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น หลบสิ่งกีดขวาง หรือต้องเบรกกะทันหัน เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจและนำไปปรับใช้กับทักษะการขับขี่ที่มีอยู่เดิมได้ ทำให้ขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

5.วิธีการดูแลบิ๊กไบค์

นอกจากเข้ารับการอบรมและเรียนรู้ทักษะในการขับขี่แล้ว การดูแลรักษาบิ๊กไบค์ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ต้องรู้ เพราะนอกจากจะช่วยให้ขับขี่ปลอดภัยแล้ว ยังทำให้รถมอเตอร์ไซค์คันโปรดดูดีด้วย ซึ่งวิธีดูแลบิ๊กไบค์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอมีดังนี้

-  ดูเเลรักษาเครื่องยนต์ เพราะการดูแลรักษาเครื่องยนต์และส่วนต่างๆ ของรถไม่ให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปเกาะหรือติดอยู่ จะทำให้รถบิ๊กไบค์สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

-  ตรวจเช็กและเปลี่ยนไส้กรองอากาศ ด้วยการนำรถเข้าไปตรวจเช็กสภาพที่ศูนย์หรือผู้ให้บริการเฉพาะรถบิ๊กไบค์เมื่อขี่ถึงระยะทาง 5,000 กิโลเมตร พร้อมทั้งเปลี่ยนไส้กรองอากาศทุก 10,000 กิโลเมตร

-  ทำความสะอาดหัวเทียน ควรทำการตรวจเช็กหัวเทียนทุกๆ  5,000 กิโลเมตร และเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ทุกๆ 10,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ควรตรวจเช็กเขี้ยวของหัวเทียนรถด้วย

-  เช็กน้ำมันเครื่องอย่างสม่ำเสมอ ควรทำการตรวจเช็กน้ำมันเครื่องทุกครั้งเมื่อวิ่งถึงระยะ 100 กิโลเมตร และเปลี่ยนน้ำมันเครื่องที่เหมาะกับรถบิ๊กไบค์ทุกๆ 2,500 กิโลเมตร

-  เปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของรถบิ๊กไบค์ให้ดียิ่งขึ้น โดยระยะทางที่ควรเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง คือ 2,500 กิโลเมตรขึ้นไปนั่นเอง

-  ตรวจเช็กท่อเดินน้ำมัน ว่ามีรอยฉีกขาดหรือมีรอยแตกหรือไม่ โดยควรทำการตรวจเช็กเมื่อรถวิ่งครบทุกๆ 5,000 กิโลเมตร และเปลี่ยนท่อเดินน้ำมันเครื่องทุกๆ 20,000 กิโลเมตร

-  ตรวจเช็กระบบส่งน้ำมัน ว่ามีรอยฉีกขาดหรือมีอาการกรอบแตกหรือไม่ โดยควรตรวจเช็กทุกๆ ระยะ 5,000 กิโลเมตร และเปลี่ยนเมื่อรถวิ่งครบ 20,000 กิโลเมตร

-  เช็กคาร์บูเรเตอร์ว่าปกติอยู่หรือไม่ ด้วยการทำความสะอาดทุกๆ 15,000 กิโลเมตร พร้อมตารางตรวจเช็กยางปากคาร์บูเรเตอร์ว่ามีสภาพสมบูรณ์หรือไม่ โดยควรตรวจเช็กทุกๆ 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้การเสื่อมสภาพจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน

 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่บิ๊กไบค์มือใหม่ ต้องรู้เอาไว้ก่อนจะเข้าสู่วงการบิ๊กไบค์เต็มตัว หรือก่อนจะออกรถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ นอกจากนี้การทำประกันรถมอเตอร์ไซค์ติดรถไว้จะช่วยให้ทุกการขับขี่อุ่นใจมากยิ่งขึ้น หากชาวบิ๊กไบค์คนไหนยังไม่รู้ว่าจะทำประกันรถมอเตอร์ไซค์แบบไหนดี ลองเข้าไปดูที่ www.viriyah.com หรือสอบถามแผนประกันรถมอเตอร์ไซค์เพิ่มเติม ได้ที่ 0-2129-7474 



 

 

อ่านบทความอื่นๆ