เคล็ดไม่ลับ ดูแลรักษารถยนต์อย่างไรให้อยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งานเสมอ


จะเป็นรถยนต์คันแรก คันที่ 2 หรือคันที่ 3 เชื่อว่าเจ้าของรถทุกคนก็อยากจะใช้งานไปนานๆ เพราะคงไม่มีใครอยากจะเสียเงินซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่อยู่บ่อยๆ อย่างแน่นอน… ซึ่งจริงๆ แล้วการดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งานนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยๆ และทำตามขั้นตอนอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถช่วยยืดอายุการใช้งานรถยนต์และลดค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงได้ในระยะยาว วันนี้เราจึงมีเคล็ดไม่ลับ การดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีเหมือนออกจากโชว์รูมใหม่ มาฝากผู้ใช้รถทุกคน
ดูแลรักษารถยนต์อย่างไร ให้รถพร้อมใช้งานอยู่เสมอ?
1.การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
การตั้งศูนย์ถ่วงล้อถือเป็นการดูแลรักษารถยนต์วิธีหนึ่ง เพราะเมื่อใช้รถมาเป็นเวลานานโดยที่ไม่ได้ทำการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ อาจทำให้ศูนย์ล้อรถยนต์ผิดเพี้ยนไปจากเดิมได้ แถมยังทำให้รถยนต์กินน้ำมันมากกว่าเดิม และขณะขับขี่อาจทำเกิดการสะเทือนจนยางรถยนต์สึกหรอ หรือเสื่อมสภาพเร็วกว่ากำหนดอีกด้วย
2.ตรวจเช็กสภาพยางรถอยู่เสมอ
การตรวจเช็กสภาพยางรถเป็นประจำ นับเป็นวิธีดูแลรักษารถยนต์ที่ผู้ใช้รถทุกคนต้องใส่ใจ เพราะส่งผลโดยตรงขณะใช้งานและความปลอดภัยนั่นเอง เพราะยางรถที่ใช้ไปนานๆ ดอกยางจะเริ่มเสื่อมสภาพและไม่ยึดเกาะกับพื้นถนน หากเจอสภาพถนนที่เปียกหรือลื่นอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นควรตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์ทุกครั้งก่อนออกเดินทาง รวมถึงแรงดันลมยางที่เหมาะสมด้วย
3.ทำความสะอาดรถคู่ใจเป็นประจำ
การดูแลรักษารถยนต์ด้วยการล้างรถอย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง จะช่วยให้สิ่งสกปรกที่เกาะติดตามจุดต่างๆ ของรถหลุดออกไป ซึ่งหากทิ้งไว้นานสิ่งสกปรกเหล่านี้อาจส่งผลให้รถยนต์คันโปรดของคุณเสียหายได้ ไม่ว่าจะเป็นสีรถยนต์ แอร์ ฯลฯ และยังเป็นการป้องกันเชื้อโรคที่อาจก่อให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจได้ ที่สำคัญไม่ควรจอดรถตากแดดเพราะนอกจากจะทำให้สีรถเสื่อมสภาพลงแล้ว ยังทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ ของรถเสื่อมสภาพเร็วกกว่ากำหนดอีกด้วย
4.ระบบเบรกห้ามมองข้าม
อีกหนึ่งจุดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ ‘ระบบเบรก’ ตั้งแต่น้ำมันเบรก ผ้าเบรก จานเบรก จะต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพราะทุกจุดของระบบเบรกสำคัญต่อการขับขี่และความปลอดภัย หากระบบเบรกมีปัญหาหรือใช้การไม่ได้ อาจเป็นสาเหตุทำให้รถเกิดอุบัติเหตุได้
5.ระบบไฟและแบตเตอรี่รถยนต์
แบตเตอรี่ถือเป็นชิ้นส่วนสำคัญของรถยนต์ที่คอยจ่ายกระแสไฟไปยังส่วนต่างๆ ของรถยนต์ ทั้งแอร์ เครื่องเสียง การสตาร์ท อย่าปล่อยให้แบตเตอรี่รถยนต์น้ำแห้งหรือหมดอายุการใช้งาน ยิ่งหากเจอรอยแตกร้าวควรรีบเปลี่ยนทันที รวมถึงควรทำความสะอาดแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ และควรเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ทุกๆ 1-2 ปี เช่นเดียวกับการชาร์จแบตเตอรี่เป็นประจำจะช่วยให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่นานขึ้นนั่นเอง
นอกจากดูแลรักษาแบตเตอรี่รถยนต์แล้ว ระบบไฟก็เป็นอีกส่วนที่ต้องให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว เพราะเป็นสัญญาณที่ต้องใช้ในการขับขี่ที่จะช่วยให้คุณปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
6.ตรวจเช็กที่ปัดน้ำฝน
เป็นอีกจุดสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับที่ปัดน้ำฝน เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้มีทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีขึ้นในยามฝนตก การทำความสะอาดที่ปัดน้ำฝนเป็นหนึ่งในวิธีดูแลรักษารถยนต์ ที่จะช่วยให้กระจกรถของคุณสะอาดและมองเห็นได้ชัดมากขึ้น
7.หัวเทียน
ชิ้นส่วนที่ช่วยในการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้อย่าง ‘หัวเทียน’ เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่จะปล่อยให้เสื่อมสภาพไม่ได้ การดูแลรักษารถยนต์ด้วยการตรวจเช็กสภาพรถยนต์ตามระยะที่คู่มือรถกำหนดเอาไว้ จะช่วยให้หัวเทียนสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น
8.ของเหลวต้องมีอยู่ตลอด
ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำยาหล่อเย็น ฯลฯ ล้วนเป็นของเหลวภายในรถยนต์ที่สำคัญต่อการทำงานของรถยนต์ทั้งนั้น จึงไม่ควรปล่อยผ่านและต้องหมั่นตรวจเช็กอยู่เสมอ
9.ที่กรองอากาศต้องสะอาด
เพราะไส้กรองอากาศเป็นอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นและเศษผงต่างๆ ที่เจือปนอยู่ในอากาศ จึงควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้อากาศภายในห้องโดยสารไหลเวียนเข้าไปยังห้องเผาไหม้ได้ตามปกติ
นี่คือเคล็ดไม่ลับในการดูแลรักษารถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่ทุกคนมีความมั่นใจและปลอดภัยทุกการเดินทาง จะให้ดีแบบคูณสองก็ควรทำความสะอาดภายในห้องโดยสารควบคู่ไปด้วยกัน ทุกครั้งที่สูดอากาศหายใจปอดของคุณจะได้ปลอดภัย และอย่าลืมทำประกันรถยนต์ติดรถเอาไว้เพื่อเสริมความอุ่นใจในทุกการเดินทาง เพราะอุบัติเหตุไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อนั่นเอง
สำหรับใครที่มองหาประกันรถยนต์คุณภาพดี มีหลากหลายแผนประกันรถยนต์รองรับ วิริยะประกันภัย เป็นอีกหนึ่งประกันที่พร้อมเป็นเพื่อนคู่ใจในทุกการเดินทาง สามารถเข้าไปดูแผนประกันรถยนต์ต่างๆ ได้ที่ www.viriyah.com หรือ โทร. 0-2129-7474