คนขับรถ EV ต้องอ่าน! วิธีเลือกประกันรถไฟฟ้าให้คุ้มค่า ดูจากอะไร?
กระแสรถยนต์ไฟฟ้ายังแรงดีไม่มีตก ไม่ว่าจะเป็นรถ Hybrid หรือรถยนต์ EV เพราะเทคโนโลยีที่ทันสมัยและยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน หลายคนจึงเทใจเลือกใช้กันมากขึ้น ซึ่งหลังจากซื้อรถไฟฟ้ามาใช้งานแล้วแน่นอนว่าต้องทำประกันรถไฟฟ้าติดรถไว้! ใครยังหาข้อมูลอยู่หรือไม่รู้จะจับจุดยังไง เรามีวิธีเลือกประกันรถไฟฟ้าให้คุ้มค่ามาฝาก เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมและคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป มีเรื่องอะไรที่ต้องรู้และพิจารณาเป็นพิเศษไปดูพร้อมกัน
ประกันรถไฟฟ้าในปัจจุบันมีกี่ประเภท
ปัจจุบันประกันรถไฟฟ้ามีให้เลือกซื้อหลากหลายประเภท ซึ่งจะมีความคุ้มครองและเบี้ยประกันแตกต่างกันเหมือนกับประกันรถยนต์สันดาปทั่วไป ดังนี้
1. ประกันรถไฟฟ้าชั้น 1
ประกันรถไฟฟ้าชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมสูงสุด โดยจะรับผิดชอบตั้งแต่ความเสียหายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถไฟฟ้าทั้งมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี ไปจนถึงความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกาย ชีวิต รวมถึงรถสูญหายและเกิดไฟไหม้ตอนชาร์จแบตเตอรี่ด้วย
2. ประกันรถไฟฟ้าชั้น 2+
ประกันรถไฟฟ้าชั้น 2+ เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองเทียบเท่ากับประกันรถไฟฟ้าชั้น 1 คือ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถไฟฟ้า ไปจนถึงความเสียหายต่อทรัพย์สิน ร่างกาย ชีวิต และในกรณีที่รถเกิดสูญหายหรือไฟไหม้ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลและค่าประกันตัวด้วย ในส่วนของเบี้ยประกันรถไฟฟ้าชั้น 2+ จะมีราคาถูกกว่าประกันรถไฟฟ้าชั้น 1
นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังสามารถทำประกันรถยนต์ทั่วไปได้ ตั้งแต่ประกันรถยนต์ชั้น 1, 2, 2+, 3 และ 3+ เพราะรถยนต์ไฟฟ้าก็นับเป็นรถยนต์ประเภทหนึ่งที่วิ่งบนถนน มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและเหตุไม่คาดฝันต่างๆ เช่นเดียวกัน ไม่เพียงเท่านี้ เพราะปัจจุบันมีการประกาศบังคับใช้ประกันภัยรถไฟฟ้าฉบับใหม่ออกมา เพื่อเพิ่มความคุ้มครองและเงื่อนไขต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่รถไฟฟ้าอุ่นใจและคุ้มค่ามากขึ้นเมื่อทำประกันรถไฟฟ้าอีกด้วย โดยสามารถอ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมของประกันรถไฟฟ้าฉบับใหม่ได้ที่นี่
-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%96-EV-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99!-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3_1.jpg)
วิธีเลือกประกันรถไฟฟ้า ต้องดูอะไรบ้าง?
เพื่อให้ได้ประกันรถไฟฟ้าที่ตรงปกตามต้องการและคุ้มค่ากับเบี้ยประกันที่จ่ายไป นี่คือปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อประกันรถไฟฟ้า
1.ความคุ้มครอง
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่คนขับรถ EV ต้องดูและพิจารณาก็คือ ความคุ้มครองของประกันรถไฟฟ้า ว่าให้คุ้มครองอะไรบ้าง เช่น ชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ รวมถึงแบตเตอรี่หรือไม่ และมีเงื่อนไขการคุ้มครองอย่างไร โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่เป็นหัวใจหลักของรถไฟฟ้า ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อต้องทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่รถไฟฟ้าต้องพิจารณาให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจทำประกันรถไฟฟ้า
2. ศูนย์ซ่อมและบริการรถไฟฟ้า
ถึงรถไฟฟ้าจะได้รับความนิยมมากขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าอู่หรือศูนย์ซ่อมรถยนต์ EV ก็ยังมีน้อยอยู่ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันและต้องเคลมประกันรถยนต์อาจทำให้ต้องปวดหัว การเลือกซื้อประกันรถไฟฟ้าจึงจำเป็นต้องดูว่าประกันรถไฟฟ้าที่จะทำมีศูนย์ซ่อมและบริการ หรืออู่ซ่อมที่น่าเชื่อถืออยู่ในเครือข่ายมากน้อยแค่ไหน จุดนี้จะช่วยให้มั่นใจและอุ่นใจได้มากขึ้นว่าถ้าเลือกประกันรถไฟฟ้าถูก รถไฟฟ้าคันโปรดก็จะได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ และไม่ต้องลุ้นกับชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ว่าจะเป็นของแท้หรือปลอม แถมยังสะดวกสบายในการเคลมประกันด้วย เพราะมีอู่ซ่อม ศูนย์ซ่อมรองรับหลายที่
3. เบี้ยประกัน
เบี้ยประกันของประกันรถไฟฟ้าเป็นอีกข้อที่คนขับรถ EV ต้องให้ความสำคัญ เพราะประกันรถไฟฟ้าที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมักจะตามมาด้วยราคาเบี้ยประกันสูง ซึ่งถ้าคุณไม่ค่อยได้ใช้รถ การเลือกประกันรถไฟฟ้าที่มีเบี้ยประกันสูงอาจทำให้เป็นภาระมากกว่าความคุ้มค่าได้ ทางที่ดีควรเลือกประกันรถไฟฟ้าที่ตรงกับไลฟ์สไตล์การขับขี่ของเรา เพื่อให้ได้ประกันที่ตอบโจทย์กับความต้องการของเรามากที่สุดนั่นเอง
4. ทุนประกัน
เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คนขับรถ EV ต้องรู้และใส่ใจก่อนซื้อประกันรถไฟฟ้า เพราะยิ่งทุนประกันสูงเท่าไหร่ก็ย่อมได้รับความคุ้มครองและดูแลมากขึ้นตามไปด้วย หมายความว่าก่อนจะซื้อประกันรถไฟฟ้าต้องดูด้วยว่าทุนประกันที่ได้รับในกรมธรรม์นั้นๆ เป็นอย่างไร สมเหตุสมผลหรือไม่ ไม่ใช่ว่าซื้อประกันรถไฟฟ้าด้วยเบี้ยประกันสูงแล้ว ยังต้องมาออกค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ เองอีก เมื่อต้องเคลมประกัน
5.บริการหลังการขาย
เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนทำประกันรถไฟฟ้าด้วย เพราะถ้าวัดจากราคาอย่างเดียว อาจทำให้ต้องปวดหัวกับการติดต่อเจ้าหน้าที่ ติดตามการซ่อมที่ใช้เวลานาน ไหนจะเรื่องการอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ล่าช้า ดังนั้นถ้าจะเลือกทำประกันรถไฟฟ้าสักฉบับ ควรมองหาประกันรถไฟฟ้าที่มีระบบจัดการและการแก้ไขปัญหาที่ครบถ้วนและรวดเร็ว เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาดำเนินการหรือติดตามเรื่องเองเวลาเกิดเหตุหรือต้องเคลม
นี่คือวิธีเลือกประกันรถไฟฟ้าให้คุ้มค่าที่คนขับรถ EV ทุกคนควรรู้ไว้ก่อนตัดสินใจทำประกันรถไฟฟ้า เพื่อให้ได้ประกันรถไฟฟ้าที่คุ้มค่า อุ่นใจทุกเส้นทาง ตอบโจทย์ความต้องการและการใช้งานมากที่สุด
ใครกำลังมองหาประกันรถไฟฟ้าอยู่ เราขอแนะนำประกันรถไฟฟ้า 2+ จากวิริยะประกันภัย ประกันรถไฟฟ้าที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมและคุ้มค่าทุกเส้นทางในราคาย่อมเยา มีศูนย์บริการมาตรฐานที่เชื่อถือได้กว่า 160 แห่งทั่วประเทศ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดประกันรถไฟฟ้า 2+ จากวิริยะประกันภัยได้ที่นี่ หรือโทร 0-2129-7474