คนรักรถต้องรู้ ! การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิกรถยนต์ แตกต่างกันยังไง ?
สำหรับคนรักรถ การที่ได้เห็นรถยนต์ที่ตนเองขับหรือครอบครองอยู่ในสภาพเงางาม ไร้รอยขีดข่วน เหมือนเพิ่งถอยออกมาจากโชว์รูมทุกวันถือเป็นความสุขอย่างมาก แต่หากเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันขึ้น จนทำให้รถมีรอยขีดข่วน รอยถลอก ที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ อาจทำให้เจ้าของรถจิตตกได้ วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับดูแลรักษารถยนต์อย่างการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก มาฝากคนรักรถกัน
เคลือบแก้ว คืออะไร
เคลือบแก้ว (Glass Coating) คือการใช้น้ำยาเคลือบแข็งลงบนผิวตัวถังของรถยนต์ให้มีความหนาขึ้น โดยใช้สารที่มีชื่อว่า ชิลิก้า (Silica) ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่ใช้ผลิตแก้วน้ำมาผสม แล้วจึงนำไปเคลือบลงบนผิวรถ โดยสารซิลิก้า จะมีระดับความแข็งตัวตั้งแต่ 1H-9H ที่เมื่อสัมผัสกับอากาศแล้วจะแข็งตัวจนกลายเป็นฟิล์ม ซึ่งจะช่วยป้องกันคราบต่างๆ ที่จะมาเกาะบนผิวรถ เช่น ฝุ่นหรือรอยขีดข่วนต่างๆ อีกทั้งยังช่วยให้ผิวรถมีความมันวาวมากขึ้นอีกด้วย
เคลือบเซรามิก คืออะไร
เคลือบเซรามิก (Ceramic Coating) คือการเคลือบชั้นผิวตัวถังรถด้วยแล็กเกอร์และน้ำยาพิเศษที่มีส่วนผสมของสาร ซิลิคอน คาร์ไบด์ (SIC : Silicon Carbide) ที่มีความแข็งระดับ 9H ซึ่งถูกออกแบบให้มีความคงทนและสร้างความเงางาม รวมไปถึงป้องกันรอยขีดข่วนด้วย โดยการเคลือบเซรามิก ลงบนผิวรถนั้นจะมีอายุการใช้งานขั้นต่ำ 3 ปี
การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ต่างกันยังไง
ถึงแม้การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก จะมีความใกล้เคียงกัน แต่การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย ดังนี้
- การเคลือบเซรามิก จะมีความเงางามมากกว่าการเคลือบแก้ว
- เคลือบเซรามิก มีความคงทนมากกว่าการเคลือบแก้ว โดยอายุการใช้งานของการเคลือบเซรามิกจะอยู่ที่ 3-5 ปี แต่อายุการใช้งานของการเคลือบแก้วจะมีขั้นต่ำอยู่ที่ 1 ปี
- เคลือบเซรามิก มีราคาที่สูงกว่า เคลือบแก้ว เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าและอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า
การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก มีกี่ประเภท
หลังจากที่ทำความรู้จักการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ให้กับรถยนต์ที่คุณรักกันไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องทำความรู้จักกันต่อแล้วว่า การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก นั้นมีกี่ประเภทและมีวิธีการเคลือบอย่างไร
1. การเคลือบแบบทา คือวิธีดั้งเดิม โดยการเคลือบลักษณะนี้ต้องอาศัยความชำนาญและฝีมือของช่าง เพราะต้องทาสารเคลือบให้กระจายทั่วพื้นที่ของผิวรถยนต์ในระดับความเหมาะสมที่พอดี ไม่บางไม่หนาเกินไป
2. การเคลือบแบบพ่น คือการใช้เครื่องพ่นสีรถยนต์ ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้กันเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะช่วยให้การพ่นสารกระจายตัวได้ดี ทำงานได้รวดเร็วและเข้าถึงทุกซอกทุกมุมของตัวถังรถ โดยวิธีการเคลือบแบบนี้จะช่วยให้มีความเงางาม คงทน เสริมให้สีรถดูมันวาว เหมือนใหม่เสมอ
ข้อดีของการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก เป็นวิธีดูแลรักษารถยนต์ที่มีความใกล้เคียงกันมาก โดยข้อดีของการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก มีดังนี้
การเคลือบเซรามิก มีข้อดีคือ
- ช่วยรักษาสภาพสีรถเดิมให้คงความสวยงามได้อย่างยาวนาน
- ลดการจับตัวของคราบน้ำ น้ำไม่เกาะตัวรถ
- ลดการเกิดรอยขีดข่วนที่เกิดจากการใช้งาน
- ลดการฝังตัวของคราบสิ่งสกปรกต่างๆ
- ช่วยป้องกันแสง UV จากแดด ที่จะส่งผลให้สีรถซีดจางหรือหมองและไม่แตกลายงา จากการจอดรถทิ้งไว้กลางแดดเป็นเวลานาน
การเคลือบแก้ว มีข้อดีคือ
- ช่วยรักษาสภาพและปกป้องสีรถให้ดูใหม่ มันวาวอยู่เสมอ
- ช่วยป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนจากผ้าหรือรอยขนแมว
- ป้องกันแสง UV จากแดด เมื่อต้องจอดรถกลางแจ้งเป็นเวลานาน
- ป้องกันคราบเปื้อนต่างๆ เช่น ฝุ่น คราบน้ำ
- การเคลือบแก้ว 1 ครั้ง อยู่ได้นาน 2-3 ปี
- ทำความสะอาดง่าย เพียงแค่ฉีดน้ำก็ชะล้างสิ่งสกปรกออกหมด เหมาะกับคนไม่มีเวลาล้างรถบ่อยๆ
รถยนต์ออกใหม่ จำเป็นต้องเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก หรือไม่?
ในส่วนนี้ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ใช้งานมากกว่า หากคุณมีเวลาในการดูแลรักษารถยนต์เป็นประจำ และสนุกกับการทำสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องบอกเลยว่า การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิกอาจไม่จำเป็น แต่ก็สามารถทำได้เพื่อเสริมเกราะป้องกันให้กับสีรถให้สวยงามและแข็งแรงอยู่เสมอ
แต่หากไม่มีเวลาในการดูแลรักษารถยนต์มากนัก การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ก็ถือเป็นตัวช่วยที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก จะเป็นตัวทุ่นแรงในการดูแลรักษารถยนต์ให้กับคุณ เนื่องจากการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก 1 ครั้ง ก็จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานนั่นเอง
เป็นยังไงกันบ้างครับกับข้อมูลการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก ที่นำมาฝากสำหรับคนรักรถ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คนรักรถทุกคนเข้าใจการทำงานของการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก รวมไปถึงข้อดีต่างๆ ไม่มากก็น้อย และอย่าลืมนะครับว่า การเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก เป็นเพียงการดูแลรักษารถยนต์เพียงเท่านั้น ไม่ได้ดูแลครอบคลุมไปถึงตัวรถและร่างกายของผู้ขับขี่ ทางที่ดีควรเพิ่มเกราะป้องกันให้กับตัวรถยนต์และผู้ขับขี่ด้วย การทำประกันรถยนต์นะครับ
และสำหรับใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ที่มีคุณภาพ บริการรวดเร็วทันใจ เป็นธรรมอยู่ เราขอแนะนำประกันภัยรถยนต์ จากวิริยะประกันภัย หลากหลายประกันภัยที่สามารถคุ้มครองรถยนต์ของคุณได้ไม่ว่าจะเป็น ประกันชั้น 1 ที่ดูแลครบ จบทุกความต้องการหรือ ประกันรถยนต์ 2+ ซื้อง่ายคุ้มครองเร็ว หรือประกันรถยนต์ 3+ ประกันคุ้มจบในที่เดียว และใครที่กำลังมองหาการต่อพรบรถยนต์ที่คุ้มค่า ที่วิริยะประกันภัยเรามีครบจบที่เดียวสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.viriyah.com หรือ โทร.สอบถามได้ที่เบอร์ 0-2129-7474