รู้หรือไม่? ตัวเลขบนยางรถยนต์บ่งบอกถึงอะไร?

รู้หรือไม่? ตัวเลขบนยางรถยนต์บ่งบอกถึงอะไร?
รู้หรือไม่? ตัวเลขบนยางรถยนต์บ่งบอกถึงอะไร?

 

      รู้หรือไม่? ว่ายางรถยนต์ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มีตัวอักษรและหมายเลขระบุไว้ด้วย ซึ่งตัวเลขบนยางรถยนต์และตัวอักษรที่ถูกระบุไว้ล้วนมีความหมายแฝงอยู่ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าค่าตัวเลขบนยางรถยนต์และตัวอักษรนั้นบอกอะไร? วันนี้เราหาคำตอบเกี่ยวกับตัวเลขบนยางรถยนต์ พร้อมทริคซื้อยางรถยนต์ใหม่ต้องดูอะไรมาฝากผู้ใช้รถทุกคน เพื่อที่เวลาไปเลือกยางรถยนต์เส้นใหม่ให้กับรถคันโปรดจะได้เลือกได้อย่างถูกต้อง 

 

ตัวเลขบนยางรถยนต์ หมายถึงอะไร

รหัสเลขบนยางรถยนต์จะช่วยให้ผู้ขับขี่รู้ถึง ชนิดของยาง ความกว้างของหน้ายาง ความสูงของแก้มยางและขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง น้ำหนักที่สามารถบรรทุกได้ ไปจนถึงวันที่ผลิตยางรถยนต์และอายุการใช้งานของยางรถยนต์ด้วย โดยตัวเลขบนยางรถยนต์พวกนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกยางรถยนต์ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง

 

ค่าตัวเลขบนยางรถยนต์ บอกอะไรได้บ้าง

1.ความกว้างของยางรถยนต์

ตัวเลขแรกที่อยู่บนแก้มยางรถยนต์จะบอกความกว้างของยาง โดยสามารถวัดได้จากแก้มยางด้านซ้ายไปขวาและมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ซึ่งตัวเลขชุดแรกนี้จะบอกถึงความกว้างของยางรถยนต์ส่วนที่สัมผัสกับพื้นผิวถนน ผู้ขับขี่สามารถมองหาตัวเลขที่บอกความกว้างยางรถยนต์ได้ที่ส่วนหน้าสุดของแก้มยาง เช่น ยางขนาด P225 หมายถึง ความกว้างของยางเส้นนี้คือ 225 มิลลิเมตร

2.ความสูงของแก้มยางล้อรถยนต์

ความสูงของแก้มยาง หรือที่หลายๆ คนรู้จักกันในชื่อ “ซีรีส์ยาง” เป็นตัวเลขบนยางรถยนต์ที่บอกถึงอัตราส่วนระหว่างความกว้างของยางกับความสูงของแก้มยางรถยนต์ ซึ่งจะมีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) โดยกลุ่มตัวเลขของซีรีส์นี้จะอยู่หลังสัญลักษณ์เครื่องหมาย / (เครื่องหมายทับ) 

3.เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อ

สำหรับเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อจะมีหน่วยเป็นนิ้ว ตัวอย่างเช่น ยางขนาด P225/55R15 91S เมื่ออ่านตัวเลขบนยางรถยนต์ คุณจะรู้ได้ว่ายางรถยนต์เส้นนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 15 นิ้ว โดยสามารถนำไปใส่กับล้อรถยนต์ที่มีขนาดเท่ากันได้ ซึ่งคนที่ใช้รถเป็นประจำจะเรียกกันง่ายๆ ว่า “ล้อขอบ 15” นั่นเอง

4.ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนัก

ตัวเลขสุดท้ายที่ระบุเอาไว้บนยางรถยนต์ ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีการรับน้ำหนักและความสามารถในการรับน้ำหนักของยางเส้นนั้นๆ ไม่ใช่น้ำหนักที่สามารถรับได้ โดยทั่วไปแล้วดัชนีรับน้ำหนักจะเริ่มต้นที่ 60-179 หรือแสดงตัวเลขที่บอกถึงความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักได้ตั้งแต่ 250-7,750 กิโลกรัม ซึ่งทำให้รถยนต์แต่ละคันสามารถรับน้ำหนักได้แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลมยางของรถคันนั้นๆ ด้วย หากเติมลมยางเต็มก็สามารถบรรทุกน้ำหนักได้เยอะขึ้น  

5.ดัชนีความเร็วของยาง

ค่าดัชนีความร็วของยาง จะถูกแทนค่าด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษเพื่อบอกขีดความสามารถในการใช้ความเร็วสูงสุดของยางแต่ละเส้น ตัวอย่างเช่น P225/55R15 91S ซึ่งตัวอักษร S หมายถึงดัชนีความเร็วของยางเส้นนี้สามารถใช้ความเร็วได้สูงสุด 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งยางรถยนต์บางรุ่นอาจมีการแทนค่าด้วยตัวอักษรอื่น เช่น ตัว R ที่สามารถใช้ความเร็วได้สูงสุด 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีตัวอักษรอื่นๆ ที่สามารถแทนค่าและทำความเร็วได้แตกต่างกัน ดังนี้

  • L ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • M ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • N ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • Q ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • T ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • U ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 200 กิโลเมตรต่อตั่วโมง

  • H ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 210 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • V ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • Z ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 240+ กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • W ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 270 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

  • Y ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ทั้งนี้ความเร็วสูงสุดจะขึ้นอยู่กับรถแต่ละประเภท ซึ่งยางรถยนต์ที่ใช้ก็จะมีความแตกต่างกัน การเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับสเปกรถจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ขับขี่ไม่ควรมองข้าม

รู้ไว้ไม่พลาด! ซื้อยางรถยนต์เส้นใหม่ต้องดูอะไรบ้าง

หลังจากที่ได้รู้ความหมายของตัวเลขบนยางรถยนต์กันไปแล้ว เราก็ยังมีทริคดีๆ สำหรับการเลือกซื้อยางรถยนต์เส้นใหม่ มาฝากผู้ขับขี่ทุกคน ดังนี้

1.เลือกยางรถให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การขับขี่ของตัวเอง

การประมินการประเมินไลฟ์สไตล์การขับขี่ของตนเอง รวมถึงสภาพถนนที่ใช้งานในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกสเปกยางรถยนต์ที่มีความเหมาะสมและตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์การใช้งานของตนเองได้ดียิ่งขึ้น เช่น ถ้าขับขี่บนถนนเรียบ การเลือกยางที่มีดอกยางละเอียด มีร่องยางแคบและถี่จะช่วยให้ยางสัมผัสพื้นผิวถนนได้ดี แต่ถ้าต้องขับขี่ในพื้นผิวถนนที่ขรุขระหรือเดินทางออกต่างจังหวัดบ่อยๆ การเลือกใช้ยางที่มีดอกยางขนาดใหญ่และมีร่องห่าง ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้โคลนหรือเศษหินต่างๆ เข้ามาติดตามร่องได้

 

2.เลือกขนาดยางให้เหมาะสม

เมื่อรู้แล้วว่าเรามีพฤติกรรมการขับขี่แบบไหน ข้อต่อมาที่ต้องให้ความสำคัญก็คือขนาดของล้อรถ ซึ่งเชื่อว่ามีหลายคนที่ทำการเปลี่ยนล้อรถเพื่อความสวยงาม ซึ่งหากล้อรถที่เปลี่ยนมามีขนาดเล็กลงจากเดิม การเลือกยางรถยนต์ที่มีขนาดแก้มยางใหญ่ขึ้นก็จะช่วยให้สามารถเกาะถนนได้ดีขึ้นและควบคุมรถได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหากเปลี่ยนล้อรถมาใหญ่กว่าปกติ ก็ควรเลือกยางที่มีขนาดแก้มยางที่เล็กลงมา โดยให้เส้นรอบวงมีขนาดที่ใกล้เคียงกับล้อมาตรฐานที่สุด ก็จะช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

 

3.หมั่นตรวจเช็กสภาพยาง

เมื่อเลือกยางที่ตรงกับไลฟ์สไตล์และขนาดของล้อรถคันโปรดแล้ว ควรตรวจเช็กสภาพยางทุกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่ายางรถที่เลือกมานั้นพร้อมใช้งาน ไม่มีความแข็งกระด้าง ไม่มีรอยแตก หรือไม่มีบาดแผลและรอยรั่ว รวมถึงดอกยางอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งาน

      จะเห็นได้ว่าตัวเลขบนยางรถยนต์นั้นมีความหมายและเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรทำความเข้าใจ เพราะทุกตัวเลขสามารถบอกขีดจำกัดของยางแต่ละเส้นได้ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประเมินคุณภาพของยางเมื่อต้องการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ รวมไปถึงสามารถเลือกยางที่เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่และรถคันโปรดได้อีกด้วย  

      นอกจากยางรถยนต์แล้ว การทำประกันรถยนต์ ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ขับขี่ต้องให้ความสำคัญและมีติดรถไว้เช่นกัน เพื่อความอุ่นใจทุกการเดินทาง รับความคุ้มครองและช่วยเหลือยามฉุกเฉินเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน ใครกำลังมองหาประกันรถยนต์คุณภาพดี บริการรวดเร็ว เป็นธรรม สามารถเข้าไปดูรายละเอียดแผนประกันรถยนต์จากวิริยะประกันภัยได้ที่ www.viriyah.com หรือ โทร. 0-2129-7474

อ่านบทความอื่นๆ