ฟิล์มติดรถยนต์มีกี่ประเภท แตกต่างกันยังไง? และมีเคล็ดลับในการเลือกอย่างไร?

ฟิล์มติดรถยนต์มีกี่ประเภท แตกต่างกันยังไง? และมีเคล็ดลับในการเลือกอย่างไร?
ฟิล์มติดรถยนต์มีกี่ประเภท แตกต่างกันยังไง? และมีเคล็ดลับในการเลือกอย่างไร?

 

      เลือกฟิล์มติดรถยนต์แบบไหนดี? คงเป็นคำถามที่หลายคนอยากรู้ โดยเฉพาะคนที่กำลังตัดสินใจจะติดฟิล์มรถยนต์ ซึ่งบอกเลยว่าในปัจจุบันมีฟิล์มหลายแบบให้เลือก แต่ละแบบก็มีจุดเด่นและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ใครกำลังหาข้อมูลนี้อยู่ วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับฟิล์มติดรถยนต์กันว่ามีกี่ประเภท แต่ละประเภทแตกต่างกันยังไง พร้อมเคล็ดลับในการเลือกและวิธีดูแลหลังติดตั้ง

 

ฟิล์มติดรถยนต์ มีกี่ประเภท

  1. ฟิล์มติดรถยนต์แบบกรองแสงปกติ (Dyed Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบกรองแสงปกติเป็นฟิล์มที่กันความร้อนจากแสงแดดได้เพียงเล็กน้อย อีกทั้งยังป้องกันรังสี UV ได้ระดับหนึ่งและราคาไม่สูง แต่หากใช้งานไประยะหนึ่งสีของฟิล์มจะลอก ซีดลงและไม่สามารถป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับกระจกได้

 

  1. ฟิล์มติดรถยนต์แบบปรอท (Metallized Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบปรอทจะมีจุดเด่นที่ความแวววาวและมีคุณสมบัติในการป้องกันรังสี UV และความร้อนจากแสงแดดได้ดี ซึ่งตัวฟิล์มจะมีความแข็งแรงและทนทานเป็นอย่างมาก สามารถป้องกันรอยขีดข่วนที่จะเกิดขึ้นกับตัวกระจกรถได้ แต่จะมีผลกับสัญญาณ GPS หรือ Easy Pass ที่อาจถูกปิดกั้นหรือรบกวนในบางครั้ง

 

  1.  ฟิล์มติดรถยนต์แบบไฮบริด (Hybrid Window Tints)

หากกำลังมองหาฟิล์มติดรถยนต์ที่มีการผสมผสานกันระหว่างฟิล์มย้อมสีและฟิล์มเมทัลไลซ์ คำตอบคือฟิล์มติดรถยนต์ประเภทไฮบริด ที่นอกจากจะมีการผสมกันระหว่างฟิล์มทั้ง 2 ประเภทแล้ว ยังมีส่วนผสมของโลหะในชั้นฟิล์มที่ช่วยให้กรองแสงได้ดี สีไม่ซีด และป้องกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี แต่เพราะฟิล์มไฮบริดเป็นฟิล์มที่มีราคาสูงจึงไม่เป็นที่นิยมจากผู้ใช้รถนั่นเอง

 

  1. ฟิล์มติดรถยนต์แบบคาร์บอน (Carbon Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์แบบคาร์บอน หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า “นาโนคาร์บอน” มาพร้อมคุณสมบัติสะท้อนแสงได้ดี และยังช่วยในเรื่องของการสะท้อนความร้อนออกไปด้วย แถมยังสามารถป้องกันรอยขีดข่วนและมีความทนทานสูง แต่ข้อเสียก็คือกักเก็บความร้อนได้ดีจึงไม่เป็นที่นิยมในไทยเท่าไรและมีราคาสูง

 

  1. ฟิล์มติดรถยนต์แบบเซรามิก (Ceramic Window Tints)

ฟิล์มติดรถยนต์เซรามิกเป็นฟิล์มที่ให้ความโปร่งใสสบายตา ทำให้รถดูสะอาด ไม่อึดอัด อีกทั้งยังมีคุณสมบัติป้องกันความร้อนจากแสงแดดและกรองความร้อนจากรังสี UV ที่จะเข้ามาภายในรถได้ถึง 99% ที่สำคัญเนื้อฟิล์มมีความแข็งแรง ทนทานเหมือนกับฟิล์มติดรถยนต์แบบคาร์บอนอีกด้วย

 

ข้อดีของการติดฟิล์มรถยนต์

-  ช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาอุปกรณ์ภายในรถ

เพราะแสงแดดกับความร้อนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อุปกรณ์ หรือสิ่งของภายในห้องโดยสารละลายหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิม ดังนั้นการติดฟิล์มรถยนต์จะช่วยป้องกันและยืดอายุการใช้งานให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถของคุณได้นั่นเอง

 

-  ให้ความเป็นส่วนตัวและปรับทัศนวิสัยในการขับขี่

อย่างที่รู้กันว่าฟิล์มติดรถยนต์นั้นมีความเข้มหลายระดับ ซึ่งหากเลือกฟิล์มที่มีความเข้มสูง นอกจากจะให้ความเป็นส่วนตัวแล้ว ฟิล์มติดรถยนต์ที่มีความเข้มสูงยังช่วยตัดแสงไฟ หรือกรองแสงไฟที่จะเข้ามารบกวนดวงตาเวลาขับขี่ได้เป็นอย่างดี  

-  ลดความร้อนและป้องกันแสง UV

เพราะรังสียูวีจากแสงแดดเป็นต้นเหตุของมะเร็งผิวหนัง หากต้องใช้รถเป็นเวลานานๆ ก็มีโอกาสได้รับความร้อนและรังสียูวีจากแสงแดดมากกว่าปกติ ซึ่งหลายคนคงรู้กันดีอยู่แล้วว่าฟิล์มติดรถยนต์ช่วยลดความร้อนภายในรถของเราได้ แต่มากกว่านั้นคือสามารถลดปริมาณรังสียูวีที่จะทะลุผ่านกระจกเข้ามาได้อย่างมาก จึงไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งผิวหนัง แต่ยังช่วยถนอมผิวและสุขภาพของเราด้วย 

-  ???????รักษาความเย็นและลดการใช้เชื้อเพลิง

การติดฟิล์มรถยนต์ที่มีคุณภาพดี นอกจากช่วยป้องกันความร้อน กรองแสง และรังสี UV แล้วยังช่วยทำให้รถเย็นขึ้นด้วย ซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันเพราะแอร์ไม่ต้องทำงานหนักเพื่อปรับอุณหภูมิภายในรถเมื่ออากาศร้อนนั่นเอง

-  ???????ช่วยป้องกันไม่ให้กระจกแตกกระเด็น เมื่อเกิดอุบัติเหตุ

ฟิล์มติดรถยนต์ที่มีคุณภาพดีจะมาพร้อมความเหนียวของเนื้อฟิล์ม ซึ่งจะช่วยยึดกับกระจกรถไม่ให้หลุดหรือร่วงเมื่อเกิดเหตุ จึงช่วยเพิ่มความอุ่นใจและความปลอดภัยในการเดินทางให้กับผู้ใช้รถ

 

เคล็ดลับในการเลือกฟิล์มติดรถยนต์ มีอะไรบ้าง?

รู้ประเภทของฟิล์มติดรถยนต์ รวมถึงข้อดีของการติดฟิล์มรถยนต์แล้ว สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับฟิล์มติดรถยนต์อีกอย่างหนึ่งก็คือ วิธีการเลือกฟิล์มติดรถยนต์ที่เหมาะสมกับรถยนต์ของเรา ดังนี้

  1. สามารถกันความร้อนได้ดี

เพราะจุดประสงค์หลักของการติดฟิล์มรถยนต์ก็เพื่อป้องกันความร้อนที่จะเข้ามาในรถ ดังนั้นสิ่งที่ต้องดูให้ดีก่อนจะเลือกติดฟิล์มรถยนต์ก็คือความสามารถในการกันความร้อนว่าเพียงพอกับการใช้งานหรือไม่ หรือดูที่ค่า TSER ซึ่งเป็นค่าการลดความร้อนจากแสงแดดจริง หากค่า TSER สูงหมายความว่าสามารถกันความร้อนได้ดี

  1. สีของฟิล์มติดรถยนต์

ฟิล์มติดรถยนต์ในปัจจุบันมีให้เลือกหลายเฉด ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว, สีฟ้า, สีเทา, สีชา และสีดำ การจะเลือกสีฟิล์มให้เหมาะกับรถของคุณสามารถทำได้ด้วยการนำสีฟิล์มที่เลือกไปทาบกับกระจกรถ เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าติดฟิล์มสีนั้นๆ แล้วจะเป็นอย่างไร เพราะกระจกที่มาพร้อมกับรถมีสีดั้งเดิมอยู่แล้ว เมื่อติดฟิล์มเข้าไปอาจทำให้เฉดสีของกระจกต่างไปได้นั่นเอง

  1. ชอบความเข้มระดับไหน

ความเข้มของฟิล์มหรือค่า VLT คือค่าที่บ่งบอกความเข้มของฟิล์มนั่นเอง โดยจะมีให้เลือกตั้งแต่ 40/60/80 ซึ่งหากตัวเลขเยอะ ความเข้มของฟิล์มและโอกาสที่แสงจะส่องผ่านเข้ามาในรถได้ก็ยิ่งน้อยนั่นเอง

  1. ระดับความเงาของฟิล์ม

เป็นอีกหนึ่งข้อที่ระบุเอาไว้ในสเปคของฟิล์มติดรถยนต์ นั่นก็คือระดับความเงาของฟิล์ม โดยมีค่า VLR เป็นตัวกำหนด ยิ่งค่า VLR เยอะฟิล์มก็จะยิ่งมีความเงามาก ถึงขั้นสะท้อนแสงเหมือนกับกระจกเลยทีเดียว ทั้งนี้การเลือกระดับความเงาของฟิล์มขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน

  1. เลือกฟิล์มติดรถยนต์คุณภาพสูง

การติดฟิล์มรถยนต์คุณภาพสูงจะช่วยให้คุณไม่ต้องเจอกับปัญหาฟิล์มลอก บิดเบี้ยว มีฟองอากาศ หรือไม่สามารถกรองแสงหรือป้องกันรังสี UV ได้ เพราะฟิล์มติดรถยนต์คุณภาพสูงจะมีคุณสมบัติที่ช่วยป้องกันรังสี UV และความร้อนจากแสงแดดที่จะเข้ามาสร้างความร้อน รวมถึงทำลายอุปกรณ์และสีต่างๆ ภายในรถได้ถึง 99% อีกด้วย

นอกจากเลือกฟิล์มที่มีคุณภาพสูงแล้ว การเลือกแบรนด์หรือผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะหากมีปัญหาหลังจากติดฟิล์มรถยนต์ คุณสามารถเคลมประกันได้นั่นเอง 

 

***หมายเหตุ : การติดฟิล์มรถยนต์ไม่ควรติดฟิล์มรถยนต์ที่มีค่า VLR >30% ขึ้นไป เพราะจะทำให้รบกวนทัศนวิสัยในการขับขี่ช่วงกลางคืน หรืออาจทำให้เห็นริ้วแสงไฟจากไฟของรถที่สวนมาหรือไฟทางต่างๆ ส่องเข้าตาได้ 

 

วิธีดูแลรักษาฟิล์มติดรถยนต์หลังติดฟิล์ม

- ไม่เลื่อนกระจกขึ้น-ลง หลังติดฟิล์มรถยนต์อย่างน้อย 7 วัน 

- ไม่เช็ดบริเวณกระจกด้านในเป็นเวลา 21 วัน เพราะเป็นด้านที่ติดฟิล์มนั่นเอง

- ไม่ใช้น้ำยาเช็ดกระจก เพราะมีส่วนผสมของสารแอมโมเนีย อาจทำให้ผิวของฟิล์มติดรถยนต์เกิดความเสียหายหรือหลุดลอกได้ หากต้องการเช็ดกระจก หลังจากติดฟิล์มมาใหม่ๆ ให้ใช้ผ้านิ่มชุบน้ำสะอาดเช็ด 

- ห้ามเช็ดด้วยของแข็ง เพราะอาจทำให้ผิวของฟิล์มติดรถยนต์เกิดรอยขีดข่วนได้

 

เห็นความสำคัญของฟิล์มติดรถยนต์กันไปแล้ว ก็อย่าลืมเลือกฟิล์มที่มีคุณภาพและเหมาะสมกับรถคันโปรดของคุณด้วย ที่สำคัญหลังจากติดฟิล์มแล้ว ก็อย่าลืมดูแลรักษาด้วย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเสียเวลาและเสียเงินไปติดฟิล์มใหม่นั่นเอง

 

ใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ที่มีคุณภาพ บริการรวดเร็วทันใจ เป็นธรรมอยู่ เราขอแนะนำประกันภัยรถยนต์ จากวิริยะประกันภัย หลากหลายประกันภัยที่สามารถคุ้มครองรถยนต์ของคุณได้ไม่ว่าจะเป็น ประกันชั้น 1 ที่ดูแลครบ จบทุกความต้องการหรือ ประกันรถยนต์ 2+ ซื้อง่ายคุ้มครองเร็ว หรือประกันรถยนต์ 3+ ประกันคุ้มจบในที่เดียว และใครที่กำลังมองหาการต่อพรบรถยนต์ที่คุ้มค่า ที่วิริยะประกันภัยเรามีครบจบที่เดียวสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่www.viriyah.com หรือ โทร.สอบถามได้ที่เบอร์ 0-2129-7474

อ่านบทความอื่นๆ