รู้ก่อนซื้อ จะได้ไม่พลาด! รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร?

รู้ก่อนซื้อ จะได้ไม่พลาด! รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร?
รู้ก่อนซื้อ จะได้ไม่พลาด! รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร?

หากพูดถึงรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคนี้ คงหนีไม่พ้น “รถยนต์ไฟฟ้า” เพราะมีสมรรถนะและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งระบบการทำงานยังมีความใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาป ยังไม่รวมดีไซน์ภายนอกที่ดูทันสมัย มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ที่สำคัญยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เนื่องจากไม่ต้องเติมน้ำมันและยังช่วยลดมลภาวะทางอากาศได้ดี จึงทำให้หลายคนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น 

แต่เพราะปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าในไทยมีให้เลือกมากมาย ซึ่งแต่ละแบรนด์ต่างก็พัฒนากันออกมาเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด ดังนั้นก่อนจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสักคันหนึ่งมาใช้งาน ก็จำเป็นต้องรู้ก่อนว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท และแต่ละประเภทต่างกันอย่างไร? เพื่อจะได้ตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้มากที่สุด
 

รถยนต์ไฟฟ้ามีกี่ประเภท

ทุกวันนี้แบรนด์รถยนต์ต่างๆ ก็มีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าออกมาตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานกันมากขึ้น ซึ่งจะมีด้วยกัน 4 ประเภทหลักๆ และแต่ละประเภทก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไปดังนี้


รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle : BEV)

รถยนต์ไฟฟ้าประเภทแบตเตอรี่ (BEV) ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมในการใช้งานเป็นอันดับต้นๆ ในปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ไม่ปล่อยไอเสียออกจากตัวรถ อีกทั้งด้วยขนาดและความจุของแบตเตอรี่ที่มากขึ้นจึงช่วยเพิ่มระยะทางวิ่งได้ไกลขึ้น ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่จะหมดกลางทาง ที่สำคัญยังมีสถานีชารจ์แบตเตอรี่รองรับมากขึ้นและค้นหาได้ง่ายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ว่าจะเป็นตามปั๊มน้ำมันใหญ่หรือห้างสรรพสินค้าอีกด้วย
 

รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle : HEV)

รถยนต์ไฟฟ้าประเภทไฮบริด เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่หลายๆ คนรู้จักและน่าจะคุ้นชินกันอยู่แล้ว เพราะเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกที่มีการผสมผสานกันระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและพลังงานไฟฟ้า เพียงแต่รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดยังไม่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้นั่นเอง ซึ่งกลไลการทำงานของรถยนต์ประเภทนี้ คือจะนำพลังงานที่ได้จากเครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ไปเก็บสะสมเอาไว้ที่แบตเตอรี่เพื่อทำการจ่ายไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าต่อไป หรือที่เรียกว่า “การสนับสนุนการเบรกแบบผันกลับ (Regenerative Braking)” ซึ่งปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าประเภทไฮบริดก็ยังได้รับความสนใจจากผู้ใช้รถยนต์อยู่ไม่น้อย เพราะมีอัตราการเร่งและกำลังของรถยนต์ที่สูงกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำกว่าอีกด้วย
 

รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicle : PHEV)


รถยนต์ไฟฟ้า PHEV เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากรุ่นไฮบริด แน่นอนว่าการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ย่อมมีความใกล้เคียงกับรุ่นไฮบริด จะแตกต่างตรงที่รถยนต์ไฟฟ้า PHEV สามารถชาร์จแบตเตอรี่ไฟฟ้าได้ที่สถานีชาร์จหรือบ้าน โดยใช้เวลาชาร์จไม่นาน บางรุ่นใช้เวลาเพียง 30 นาที ซึ่งช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้สามารถสลับโหมดการใช้งานระหว่างน้ำมันกับมอเตอร์ไฟฟ้าในระยะทางสั้นๆ ได้ ด้วยเหตุผลนี้ทำให้รถยนต์ไฟฟ้า PHEV ได้รับความนิยมรองมาจากรถยนต์ไฟฟ้าประเภท BEV นั่นเอง
 

รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle : FCEV)

หลายคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนกันมาบ้างแล้ว ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง หรือที่หลายคนเรียกกันว่า รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก แต่จะแตกต่างกับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วไปตรงที่ใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนเข้ามาช่วยในการผลิตพลังงานไฟฟ้าและถูกจัดเก็บอยู่ในรูปแบบของเหลว ก่อนจะส่งไปยังแผงเซลล์พร้อมกับอากาศที่มีออกซิเจนเพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาในการสร้างไฟฟ้าขึ้น หลังจากนั้นไฟฟ้าที่ถูกผลิตขึ้นมาจะส่งไปยังแบตเตอรี่เพื่อใช้เป็นพลังงานในการขับเคลื่อนต่อไป 



ข้อดีของการขับขี่รถยนต์ไฟฟ้า

เมื่อรู้แล้วว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่มีอยู่ในท้องตลาดตอนนี้มีประเภทไหนบ้าง แต่ละประเภทมีจุดเด่นและความแตกต่างอย่างไร ก็มาถึงข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญให้กับผู้ที่กำลังตัดสินใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าอยู่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มีข้อดีอะไรบ้างมาดูกัน

  • มีให้เลือกหลายรุ่น อย่างที่รู้กันว่ารถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันมีหลายประเภทให้ได้เลือกใช้ เพราะหลายๆ แบรนด์ต่างก็พัฒนาออกมาตอบโจทย์ผู้ขับขี่กันมากขึ้น จึงมีให้เลือกหลายรุ่น หลายยี่ห้อ ทำให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจซื้อ สามารถหาข้อมูลและเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะที่ตอบโจทย์การใช้งานของตนเองได้เลย

  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คงปฏิเสธไม่ได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า เป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและช่วยลดมลภาวะต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีการปล่อยไอเสียที่เกิดจากการใช้น้ำมันนั่นเอง

  • ไม่สร้างเสียงรบกวน นอกจากไม่สร้างมลภาวะทางอากาศแล้ว รถยนต์ไฟฟ้ายังไม่สร้างมลภาวะทางเสียงด้วย เพราะขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ทำให้ไม่มีเสียงรบกวนเวลาขับขี่ 

ประหยัดค่าใช้จ่าย อีกหนึ่งข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็คือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะพลังงานไฟฟ้ามีราคาถูกกว่าน้ำมัน รวมถึงรถยนต์ไฟฟ้ามีอะไหล่น้อยชิ้นและไม่มีเครื่องยนต์แบบสันดาป จึงดูแลรักษาง่ายกว่ารถยนต์แบบใช้น้ำมันทั่วไปที่มักจะต้องตรวจสภาพเป็นประจำอีกด้วย


 

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

1.หาข้อมูลเกี่ยวกับสเปกรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องการซื้อ

สิ่งที่ต้องทำเป็นลำดับแรกก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าก็คือ การหาข้อมูลเกี่ยวกับสเปกของรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ที่สนใจอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นความจุของแบตเตอรี่ ระยะทางที่รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนั้นๆ สามารถวิ่งได้ สมรรถนะของรถ รวมถึงระยะเวลาในการชาร์จไฟด้วย เพราะรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกัน ซึ่งหากเข้าใจการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว คุณก็สามารถเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์กับการใช้งานได้ง่ายขึ้น

2.การติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสำหรับคนที่อยากใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าต้องศึกษาก็คือ การติดตั้ง EV Charger ที่บ้าน ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีสถานีชาร์จตามจุดต่างๆ มากขึ้น แต่การติดตั้งจุดชาร์จที่บ้านจะช่วยให้คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย และมีความอุ่นใจมากกว่าการนำรถยนต์ไฟฟ้าคันโปรดไปจอดตามสถานีชาร์จต่างๆ และยังไม่ต้องเสียเวลานั่งรอชาร์จด้วย แต่ก่อนจะทำการติดตั้ง EV Charger ได้นั้น สิ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญก็คือ มิเตอร์ไฟฟ้าภายในบ้านที่อาจจะต้องเปลี่ยนเพื่อรองรับการติดตั้ง EV Charger รวมถึงการหาข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแผงวงจรสำหรับการติดตั้ง EV Charger ด้วย เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้มากขึ้นนั่นเอง

3.ระยะเวลาชาร์จแบตเตอรี่

นอกจากข้อมูลสเปกรถยนต์ไฟฟ้าและการติดตั้ง EV Charger ที่บ้านแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ต้องรู้ก็คือ รถยนต์ไฟฟ้าที่คุณกำลังจะตัดสินใจซื้อมานั้นมีรูปแบบการชาร์จแบบไหน ใช้เวลาเท่าไร ทั้งในรูปแบบ AC Charging และ DC Charging เนื่องจากทั้ง 2 แบบนี้ ใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ต่อครั้งไม่เท่ากัน ทำให้ผู้ใช้รถจำเป็นต้องมีความเข้าใจระยะเวลาการชาร์จของแบตเตอรี่ของรถที่ใช้อยู่ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถคำนวณเวลาในการชาร์จต่อครั้ง และระยะทางในการวิ่งได้เมื่อต้องเดินทางไกลหรือใช้ในชีวิตประจำวัน

4.งบประมาณที่ต้องใช้ในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

ข้อสุดท้ายที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าก็คือเรื่องของงบประมาณนั่นเอง เพราะถึงแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าน้ำมัน แต่รถยนต์ไฟฟ้าก็ยังมีภาระส่วนอื่นๆ ให้คุณต้องคอยดูแลอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าประกันรถยนต์ไฟฟ้า ค่าตรวจสภาพรถ ค่าบำรุงรักษา ค่าไฟฟ้า ภาษีรถยนต์ไฟฟ้า ค่าติดตั้ง EV Charger ฯลฯ ดังนั้น จำเป็นต้องศึกษาค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ละเอียด เพื่อจะได้วางแผนการเงินที่สามารถรองรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ตรงส่วนนี้ได้ โดยไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายส่วนอื่นในชีวิ
 

ได้รู้กันไปแล้วว่ารถยนต์ไฟฟ้าที่อยู่ในท้องตลาดในปัจจุบัน มีรถยนต์ไฟฟ้าประเภทไหนบ้าง มีข้อดีและความแตกต่างอย่างไร รวมถึงสิ่งที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ทางเรานำมาฝาก ซึ่งจะช่วยให้คุณเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ตอบโจทย์ที่สุด ใครที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่าจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานดีหรือไม่ ลองเอาข้อมูลในบทความนี้ไปประกอบการตัดสินใจดู

ใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่มีคุณภาพ บริการรวดเร็วทันใจ เป็นธรรมอยู่ เราขอแนะนำประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า จากวิริยะประกันภัย หลากหลายประกันภัยที่สามารถคุ้มครองรถยนต์ของคุณได้ไม่ว่าจะเป็น ประกันชั้น 1 ที่ดูแลครบ จบทุกความต้องการหรือ ประกันรถยนต์ 2+ ซื้อง่ายคุ้มครองเร็ว หรือประกันรถยนต์ 3+ ประกันคุ้มจบในที่เดียว และใครที่กำลังมองหาการต่อพรบรถยนต์ที่คุ้มค่า ที่วิริยะประกันภัยเรามีครบจบที่เดียวสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.viriyah.com หรือ โทร.สอบถามได้ที่เบอร์ 0-2129-7474

อ่านบทความอื่นๆ