วิธีเช็ครถหลังเดินทางไกล เพิ่มความปลอดภัย สบายใจ ลดอุบัติเหตุ

วิธีเช็ครถหลังเดินทางไกล เพิ่มความปลอดภัย สบายใจ ลดอุบัติเหตุ
วิธีเช็ครถหลังเดินทางไกล เพิ่มความปลอดภัย สบายใจ ลดอุบัติเหตุ

วิริยะประกันภัยขอแชร์เคล็ดลับ วิธีเช็คสภาพรถยนต์หลังเดินทางไกล จุดไหนที่ต้องตรวจสอบดูว่าปกติดีอยู่? หรือมีส่วนที่ต้องซ่อมและเปลี่ยน บางจุดบ่งบอกว่าอันตรายหากปล่อยทิ้งไว้นาน วันนี้เรามาดูวิธีตรวจเช็ครถไปพร้อมกันว่ามีจุดไหนบ้าง

1. เช็คสภาพล้อรถยนต์ 

     ความลึกของดอกยาง
     วิธีนี้สามารถเช็คได้ด้วยตัวเองง่ายๆ โดยการใช้เหรียญบาทเสียบลงตามร่องของยาง หากมองเห็นส่วนใบหน้าเหรียญครบทั้งหมด นั้นเป็นสัญญาญเตือนว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางแล้ว

     รอยบนหน้ายาง
     เป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่ายๆ หลังจากที่ขับรถทางไกลแล้วขับไปบนพื้นถนนที่ขรุขระไม่เรียบ ลองตรวจเช็คดูว่ามีรอยชำรุด ยางปูดบวม ดอกยางสึกไม่สม่ำเสมอกัน มีรอยแห้งแตกอยู่บนแก้มยางรถยนต์ของคุณหรือไม่  หรือไม่มีความยืดหยุ่นในระหว่างที่คุณเบรก แสดงว่าอาจมีการรั่วซึมอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นอันตรายในการขับขี่ในครั้งถัดไป

     ลมดันลมยาง
     การตรวจเช็คลมยางมาตรฐานสามารถดูได้จากแผ่นป้ายบริเวณประตูฝั่งคนขับ หรือในคู่มือประจำรถ แนะนำว่าควรรอให้ยางมีความเย็นก่อนหรือประมาณ 3 ชม. หลังผ่านการใช้งาน หรือวิ่งในระยะทางน้อยกว่า 1.6 กม. ด้วยความเร็วปานกลางมา หากนำรถไปเช็คแล้วพบว่าล้อใดล้อหนึ่งมีความดันลมน้อยกว่าปกติ อาจจะมีการรั่วซึมเกิดขึ้นควรจะทำการปะยางหรือเปลี่ยนใหม่จะดีที่สุด 

     มีสิ่งทิ่มยางรถยนต์
     การตรวจเช็คนี้สามารถตรวจเช็คได้ง่ายเช่นกัน หลังการเดินทางไกลอาจจะขับผ่านไปบนพื้นถนนที่มีลักษณะเป็นถนนลูกรังต่างๆ หากพบว่ามีตะปู เศษเหล็ก หรือก้อนหินทิ่มแทง หรืออุดอยู่ที่ยางรถยนต์ของคุณ จะทำให้เกิดปัญหายางรั่ว และอาจจะเป็นอันตรายถึงขั้นยางระเบิดได้  ควรรีบนำรถยนต์ไปเปลี่ยนยางใหม่เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณ และครอบครัว

2. เช็คน้ำมันเครื่อง
     ควรเช็คให้แน่ใจว่าอยู่ในระดับปกติอยู่หรือไม่ สิ่งแรกที่สำคัญเหมือนกันก็คือระดับน้ำมันซึ่งหลังจากกลับจากการเดินทางไกลแล้วไม่ควรปล่อยให้ระดับน้ำมันลดลงไปน้อยกว่าระดับที่วัดก่อนเดินทาง และต้องเช็คว่ามีการรั่วซึมหรือไม่ วิธีการเช็คคือการใช้ก้านตรวจวัดระดับน้ำมันเครื่อง ถ้าการแสดงผลโชว์ระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่าอยู่ในระดับที่ปกติไม่มากและไม่น้อยเกินไป หากนอกเหนือกว่านั้น เช่น ตรวจพบว่าอยู่ในระดับปกติแต่สีของน้ำมันเครื่องมีความดำมากแสดงว่าน้ำมันเครื่องมีความสกปรกอาจจะทำให้ประสิทธิภาพการหล่อลื่นลดลง ถ้าตรวจเช็คแล้วพบว่าอยู่ในระดับต่ำกว่าตัว L แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าปกติอาจทำให้เครื่องยนต์เกิดการสึกหลอได้ และสุดท้ายหากตรวจพบว่าระดับน้ำมันอยู่สูงเกินกว่าระดับตัว F แสดงว่าน้ำมันเครื่องมีมากเกินไป และอาจจะทำให้เกิดความร้อนสูงสิ้นเปลืองพลังงานได้อีกเช่นกัน

3. เช็คน้ำยาหล่อเย็น
     อีกหนึ่งจุดสำคัญที่ต้องมั่นตรวจเสมอทั้งก่อน-หลังเดินทางไกล ระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์เป็นจุดที่ต้องตรวจเช็คบ่อยๆ วิธีเช็คง่ายๆ เพื่อดูว่าระดับไหนที่ถือว่าปกติให้สังเกตที่หม้อพักน้ำยาหล่อเย็นจะมีสัญลักษณ์บอกระดับน้ำ คือ Min และ Max ถ้าระดับน้ำอยู่ต่ำกว่า Min แสดงว่าน้ำน้อยเกินไปซึ่งเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์และเป็นเหตุทำให้เครื่องยนต์ฮีต วิธีแก้เพียงเติมน้ำยาหล่อเย็นที่สามารถหาซื้อได้จากร้านขายอะไหล่ทั่วไป โดยเติมน้ำยาเข้าไปให้ได้ระดับที่พอดีไม่มากเกินขีด Max เพราะถ้ามากเกินจะทำให้น้ำที่เดือดแล้วล้นออกมาส่งผลให้เป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์เช่นกัน

4. เช็คช่วงล่างรถยนต์ และระบบการสั่นสะเทือน
     เพื่อดูว่ามีความผิดปกติหรือไม่หลังการเดินทางระยะไกล ส่วนใหญ่แล้วถ้าอาการที่ช่วงล่าง และการสั่นสะเทือนมีปัญหาให้ลองสังเกตได้ตามนี้ เมื่อครั้งถัดไปที่คุณขับขี่แล้วรถเกิดอาการร่อนเมื่อขับด้วยความเร็ว แสดงว่ามีโช้คมากกว่า 1 ต้น ที่ได้รับความเสียหาย หรือโคลงตัวมีความผิดปกติโดยอาการคือจะมีการยืด - หดช้าลง เวลาที่เร่งความเร็วหรือเวลาเบรกแล้วหน้าจะทิ่มมากกว่าปกติ อีกหนึ่งอาการคือภายในห้องโดยสารมีความนุ่มผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถซับแรงสะเทือนเองได้ มีความกระดอนผิดจังหวะ แสดงว่าโช้คมีการทำงานที่ผิดปกติถือได้ว่ามีความอันตรายอยู่พอสมควร นอกจากนั้นต้องลองตรวจเช็คลูกหมากปีกนก ลูกหมากคันชักตัวนอก ลูกหมากแร๊ค รวมไปถึงลูกปืนล้อ  วิธีเช็คคือเมื่อขับขี่จะรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหมุนเลี้ยวจะมีระยะมากกว่าปกติ มีอาการเสียงดังเวลารถตกหลุม หรือตอนที่รถเอียงตัว เป็นต้น

5. เช็คสภาพตัวถัง
     ตรวจสอบเช็คร่องลอยตามตัวถังรถยนต์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรอยเพิ่มขึ้น อีกหนึ่งวิธีที่สังเกตและสามารถตรวจเช็คได้ด้วยตัวเอง หลังจากกลับจากการขับขี่ระยะทางไกลการล้างทำความสะอาดรถเพื่อชำระฝุ่นควันต่างๆ ที่ติดมาออกไปนั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะฝุ่นและควันบางชนิดก็สามารถสร้างผลกระทบต่อชั้นสีในระยะยาวได้ อีกสิ่งหนึ่งคือให้ลองสังเกตรอบตัวถังรถว่ามีรอยบุบหรือรอยขีดใดๆ เพิ่มมาใหม่หรือมีลักษณะที่ผิดปกติไปจากเดิมหรือไม่ หากพบจะได้ซ่อมแซมได้อย่างถูกต้องและถูกวิธี ก่อนที่จะเป็นปัญหาที่แก้ยากมากกว่าเดิม

6. เช็คไส้กรองอากาศ
     ฝุ่นในระหว่างการเดินทางไกลสร้างความสกปรกให้ไส้กรองมากขนาดไหน ยิ่งเดินทางไกลรถยนต์ยิ่งต้องเผชิญกับฝุ่นละอองต่างๆ เป็นอีกจุดที่ควรเช็คด้วยเช่นกัน วิธีตรวจเช็คก็สามารถทำได้ง่ายๆ เมื่อเปิดฝากระโปรงขึ้นจะเห็นหม้อกรองอากาศที่อยู่ติดกับลิ้นปีกผีเสื้อจากนั้นให้แกะกิ๊บล็อคหม้อกรองออกมาดูว่าสกปรกและมีฝุ่นเยอะเกินไปหรือไม่ สามารถถอดเพื่อเคาะฝุ่นออก หรือใช้ลมเป่าออกได้ หรือดูวิธีเช็คในคู่มือรถยนต์ที่ระบุมาอย่างละเอียดอีกที เพราะถ้าหากปล่อยเอาไว้จะทำให้เศษฝุ่นเหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเต็มพื้นที่ตัวไส้กรองทำให้ประสิทธิภาพในการดักจับฝุ่นลดลง ทำให้ฝุ่นไปอุดตันที่ลิ้นปีกผีเสื้อส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานเดินไม่นิ่ง และใส้กรองตันในที่สุด 


     จบไปแล้วสำหรับคำแนะนำในการเช็ครถจากวิริยะ หลังจากเดินทางไกล หากรถยนต์ของคุณตรวจเช็คสภาพรถทุกครั้งหลังเดินทางก็จะส่งผลดีต่อระบบการทำงานในส่วนต่างๆ ของรถยนต์ หากไม่มีการดูแลก็จะเสื่อมถอยไปตามสภาพการใช้งาน วิริยะประกันจึงอยากขอแชร์เคล็ดลับวิธีเช็คสภาพรถเพื่อความปลอดภัย อุ่นใจ ในการขับขี่ของทุกคน 

ท้ายที่สุดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเช็ครถเท่านั้น การตัดสินใจเลือกซื้อประกันรถยนต์ก่อนการเดินทางเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เราอุ่นใจเวลาเดินทางไปไหนไกลๆ ได้อีกด้วย

ใครที่กำลังมองหาประกันรถยนต์หรือต้องการทำประกันรถยนต์ เราขอแนะนำประกันรถยนต์จากวิริยะประกันภัย ทำประกันภัยรถยนต์ก็เป็นสิ่งสำคัญในการคุ้มครองรถยนต์ของคุณได้ไม่ว่าจะเป็น ประกันชั้น 1 ที่ดูแลครบ จบทุกความต้องการหรือ ประกันรถยนต์ 2+ ซื้อง่ายคุ้มครองเร็ว หรือประกันรถยนต์ 3+ ประกันคุ้มจบในที่เดียว และใครที่กำลังมองหาการต่อพรบรถยนต์ที่คุ้มค่า ที่วิริยะประกันภัยเรามีครบจบที่เดียวสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.viriyah.com หรือโทรสอบถามข้อมูลได้ที่ 0-2129-7474

อ่านบทความอื่นๆ